“ชีวิตเนือยนิ่ง” คำนี้ฟังดูเผินๆ เหมือนจะคล้ายกับใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ซึ่งเป็นสไตล์การใช้ชีวิตแบบช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ชะลอสปีดชีวิตตัวเองไม่ตามกระแสสังคม ทำทุกอย่างช้าลงเพื่อให้มีสติและซึมซาบความหมายของชีวิตได้มากขึ้น แต่ในความจริงแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ เพราะนี่คือพฤติกรรมอันตรายที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกายเราโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่อยากกลายเป็นคนเนือยนิ่งเรามาทำความมารู้จักกับพฤติกรรมนี้และวิธีแก้ไขกันครับ
“พฤติกรรมเนือยนิ่ง” หรือ Sedentary Behavior คือ การนั่งหรือนอนในกิจกรรมต่างๆ โดยใช้พลังงาน 1.5 MET (หน่วยที่ใช้ในการประมาณค่าของจำนวนออกซิเจนที่ถูกร่างกายใช้) ไม่รวมการนอนหลับ อธิบายได้ง่ายๆ ว่า พฤติกรรมเนือยนิ่งหมายถึง การที่เราขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายน้อยมากในแต่ละวัน หรือมีกิจกรรมทางกายน้อยลงจนกลายเป็นเนือยนิ่ง อย่างการนั่งโต๊ะทำงานทั้งวันแทบจะไม่ได้ขยับตัวลุกไปไหน ติดสมาร์ทโฟนมากไปจนไม่ได้ใช้งานร่างกาย เป็นต้น
มีผลการวิจัยระบุว่า “พฤติกรรมเนือยนิ่ง” นั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน และภาวะของเมตะบอลิคซินโดรม หรือที่คนเรียกกันว่า “โรคอ้วนลงพุง” ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าต้องการมีสุขภาพที่ดี และลดโอกาสเสี่ยงโรคร้าย คนเราควรมีกิจกรรมทางกายเป็นเวลาอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 75 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งการใช้กำลังกายนี้สามารถนับรวมจากการขยับตัวทำงาน หรือการเดินทางไปทำงานได้ด้วยนะครับ
เรามาดูตัวอย่างกิจกรรมของคนวัยทำงานที่ช่วยป้องกันพฤติกรรมเนือยนิ่งกันแบบง่ายๆ กันครับ
ทำได้โดยการเหยียดแขนตรง แล้วก้มตัวไปแตะปลายเท้า หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเกร็งหน้าท้องก่อนจะค้างไว้สามสิบวินาที กลับมาสู่ท่าเริ่มต้น ทำวันละสองถึงห้ารอบ จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และรู้สึกสดชื่น เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในช่วงกลางวัน ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและสดชื่นมากขึ้น นอกจากนี้ในระหว่างนั่งทำงานก็ควรหาเวลาลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือยืดเหยียดร่างกายบ้างครับ
การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ก็เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว ท่าทางในการขึ้นบันไดให้หลังตั่งตรงแล้วแกว่งแขนพอประมาณ จะช่วยในการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แต่ในกรณีที่เร่งรีบ หรือห้องทำงานอยู่ชั้นสูง ก็ควรใช่ลิฟต์ตามปกติ การขึ้นลงบันไดนอกจากจะเป็นการเผาผลาญพลังงานแล้วยังช่วยในเรื่องกล้ามเนื้อต้นขาและน่องให้กระชับยิ่งขึ้นอีกด้วย
คุณรู้หรือไม่ว่า ในขณะที่เราเดินนั้น เพียงแค่คุณแกว่งแขน ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้น คือชุมทางของต่อมน้ำเหลือง หากเราได้ขยับหัวไหล่ และรักแร้ ด้วยการแกว่งแขน จะช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองขยับไปด้วย เมื่อต่อมน้ำเหลืองขยับ มันก็จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย "ระบบต่อมน้ำเหลือง" นั้น รวมไปถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ฯลฯ ด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดชำระล้างให้ร่างกาย มีหน้าที่ขจัดของเสีย สารพิษในร่างกาย แถมยังช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว แอนตี้บอดี้ของระบบภูมิคุ้มกัน กรองสารแปลกปลอม เชื้อโรคสารพัด และลดการสะสมไขมันได้อีกด้วย
ทุกวันนี้เพียงแค่ใช้ปลายนิ้ว สิ่งของที่ต้องการก็มาส่งถึงหน้าประตูบ้านแบบไม่ต้องกระดิกตัวไปไหน กลายเป็นเพิ่มโอกาสเสี่ยงพฤติกรรมเนือยนิ่ง เราเลยอยากให้คุณเปลี่ยนบรรยากาศลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้วชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจออกไปช้อปปิ้งเดินชิลๆ ตามตลาดนัด หรือออกไปซื้อของกินของใช้ที่ห้างด้วยตัวเองแทนที่จะใช้สมาร์ทโฟนสั่งช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นกันสักหน่อย อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วันก็ยังดีครับ
ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปความก้าวล้ำของเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ แม้จะเป็นผลดีให้ชีวิตเราลดขั้นตอนในการทำกิจกรรมบางอย่างและมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น แต่ถ้าหากเราไม่บริหารจัดการเวลาที่เหลือเหล่านั้นให้ดีและติดความสบายจนกลายเป็นนิสัยก็อาจทำลายสุขภาพได้ในแบบที่เราคาดไม่ถึงครับ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการที่เรามีวินัย และรักสุขภาพนั้น พฤติกรรมเนือยนิ่งก็ไม่อาจมาทำร้ายคุณได้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันตั้งแต่วันนี้ แล้วให้ประกันสุขภาพได้หมดจากแมนูไลฟ์ เป็นหลักประกันความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ด้วยความคุ้มครองสุงสุดถึง 6 ล้านบาท และลดเบี้ยสุขภาพสูงสุด 30% หากไม่มีการเคลม