ตอนเด็กๆ เรามักจะโดนผู้ใหญ่ถามอยู่เสมอว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ส่วนใหญ่เด็ก ๆ ก็จะตอบว่า ตำรวจ หมอ พยาบาล ครู ฯลฯ แต่เอาจริงๆ แล้วน้อยคนที่จะได้ทำงานอย่างที่ตัวเองฝันไว้เมื่อโตขึ้น เชื่อเลยว่ากว่า 80% ของคนส่วนใหญ่นั้นต้องทำงานที่ตัวเองไม่ได้รักหรือไม่เคยคิดฝันมาก่อน แต่ทำเพราะเป็นหน้าที่หรืออาจเป็นเพราะจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม แต่จะดีกว่าไหมที่เราได้ทำงานที่รักแล้วยังได้เงินด้วย ก่อนที่จะสิ้นสุดปี 2018 เรามาลองเช็คกันหน่อยครับ ว่างานที่เราทำมาตลอดทั้งปี มันคืองานที่ใช่และเป็นอาชีพที่เหมาะสำหรับเราจริงๆ แล้วหรือยัง?
เรามาเริ่มด้วยหัวข้อที่สำคัญที่สุดเลยครับ บางทีงานที่เราทำแสนสบายวันๆ อยู่แต่ในห้องแอร์ แต่ทำไมเราถึงไม่มีความสุข? แต่กับบางคนที่ต้องออกตะลุยโลกภายนอก วันทั้งวันแทบไม่ได้กินข้าว แต่เขารู้สึกสนุกและมีความสุขกับงานที่ทำ เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น? เนื่องจากความสุขในการทำงานเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ จึงต้องมองย้อนที่ตัวเองและสังเกตตัวเองดูว่าเวลาทำงานคอยมองนาฬิกาบ่อยๆ หรือทำงานเพลินจนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก แล้วพอถึงวันจันทร์อยากลุกจากเตียงไหม เป็นต้น เพราะการมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ย่อมส่งผลให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราก็จะภูมิใจในตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าต่องานนั้นๆ กลายเป็นความสุขในการทำงานนั่นเองครับ
เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิดเป็นเรื่องหลักๆ อยู่แล้วครับ เพราะทุกวันที่เราออกไปทำงานก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง การที่เราจะเลือกสมัครงานหรือทำงานสักที่หนึ่ง เราก็ต้องคำนวณว่าค่าตอบแทนนั้นคุ้มกับการที่เราต้องออกไปทำงานหรือไม่ อีกทั้งสวัสดิการที่บริษัทมีให้เพียงพอกับความต้องการของเราไหม บางคนทำงานเงินเดือนไม่สูงแต่ค่าเดินทางแพงลิบลิ่ว ต้องดึงเงินส่วนอื่นมาใช้ แบบนี้ก็ต้องคิดให้ดีครับ อาจจะลองหาที่ทำงานใหม่ที่ใกล้บ้านมากยิ่งขึ้น หรือหน้าที่ที่เรารับผิดชอบสัมพันธ์กับเงินเดือนที่เราได้รับหรือเปล่า ต้องลองชั่งน้ำหนักดูครับ
เวลาอยู่ที่ทำงานบางทีอาจใช้เวลามากกว่าอยู่บ้านซะด้วยซ้ำ ที่ทำงานจึงเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานก็เหมือนคนที่เราอาศัยอยู่ด้วยกันเกือบตลอด บางทีงานที่เราทำเป็นสิ่งที่เรารักและมีความสุขมาก แต่กลับต้องเจอหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไร อันนี้ต้องอยู่ที่ตัวเราว่าทนรับได้แค่ไหนหรือจะปรับตัวอย่างไรหากต้องทำงานร่วมกับคนที่เราไม่ชอบ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราควบคุมได้ยากครับ
เช็คดูว่างานที่ทำอยู่นั้นมารบกวนเวลาส่วนตัวหรือวันหยุดพักผ่อนมากน้อยแค่ไหน ต้องเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่องานเร่งด่วนบ่อยครั้งหรือไม่ ลองพิจารณาดูว่าอยู่ในลิมิตที่เรารับมือได้อยู่หรือเปล่า เพราะถึงแม้จะเป็นงานที่ชอบแต่ถ้าเอาเวลาส่วนตัวของเราไปซะหมดก็คงจะไม่ดีแน่ ถ้างานสามารถยืดหยุ่นมีความสมดุลให้ได้ชีวิตส่วนตัวในระดับที่คุณพอใจก็มีแนวโน้มว่างานนั้นเหมาะกับคุณจริง ๆ ครับ
หัวข้อข้างต้นเป็นสิ่งที่ให้เราอยากให้คุณมองย้อนดูว่างานที่ทำนั้นเป็นงานที่ฝันไว้หรือไม่ อาจจะต้องมองถึงอนาคตด้วยนะครับว่า 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ข้างหน้า งานที่ทำสามารถเติบโตไปในทิศทางไหนได้บ้าง มีลู่ทางใดให้ต่อยอดได้บ้าง ลองนั่งทบทวนกันดูว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้ใช่งานที่ฝันไว้ไหมหรือเป็นงานที่ดีพอสำหรับเราหรือยัง แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าอนาคตคุณจะอาจต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันหรือความเจ็บป่วย ประกันสุขภาพได้หมด จากแมนูไลฟ์ สามารถคุ้มครองดูแลคุณสูงสุด 6 ล้านบาท และยังคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทำให้คุณสามารถค้นหางานที่ฝันไว้และทำงานได้เต็มกำลังเลยครับ